วันพุธที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

โรอัลด์ อะมุนด์เซน


         มีคำกล่าวว่า โลกเราวันนี้แคบลง เทคโนโลยีต่างๆ ย่อโลกให้เล็ก สามารถสื่อสารและเดินทางถึงกันได้อย่างรวดเร็ว จนแทบไม่มีที่ไหนไกลเกินกว่าจะคิดถึง
        แต่กว่าจะเป็นอย่างนี้ได้ ต้องขอบคุณ เหล่านักสำรวจจากอดีต ที่ทุ่มเทแรงกาย แรงใจ ในการบุกเบิกเส้นทางออกไปสู่ดินแดนใหม่ๆ ซึ่งไม่มีใครรู้จัก บางคนก็ประสบความสำเร็จ แต่อีกหลายคนที่ล้มเหลว และต้องแลกความอยากรู้ อยากได้สัมผัสโลกใหม่ด้วยชีวิตของพวกเขาเอง
        หากจะกล่าวถึงนักสำรวจที่อุตสาหะ แต่ อาภัพที่สุดคนหนึ่ง เห็นทีจะต้องเอ่ยถึงวีรบุรุษของอังกฤษ นามโรเบิร์ต ฟาลคอน สก็อตต์ นายทหารเรือที่ตั้งอกตั้งใจหวังจะพิชิตขั้วโลกใต้ให้ได้เป็นคนแรกของโลก แต่การบุกลุยไปครั้งแรกก็ล้มเหลว ไปไม่ถึง ส่วนครั้งที่ 2 แม้จะได้เหยียบขั้วโลกใต้ได้ดั่งใจหวังในวันที่ 18 มกราคม ค.ศ. 1912 แต่ก็เป็นการไปถึงเพื่อที่จะได้พบว่า มีคนอื่น เจาะไข่แดงขั้วโลกใต้ ไปก่อนแล้ว
        สก็อตต์ซึ่งพกความล้มเหลวครั้งใหญ่ ต้องล้มเหลวหนักขึ้น และไม่สามารถไปบุกเบิกดินแดนไหนได้ อีกเลย เพราะระหว่างที่เดินทาง กลับอย่างชอกช้ำใจนั้น นายทหารหนุ่มและทีมงานที่ต้องพบทั้งความเหนื่อย หิวโหย และหนาวยะเยือก ไม่สามารถฟันฝ่าอุปสรรคจนถึงบ้านได้ เขาสิ้นชีวิตระหว่างทาง ปิดตำนานนักสำรวจที่มุ่งมั่นที่สุดคนหนึ่งลงอย่างถาวร แต่ถึงกระนั้นชื่อเสียงของเขาก็ยังตราตรึงใจเหล่านักสำรวจรุ่นหลัง
        ว่าแต่ว่า แล้วใครกันล่ะ ที่ทำให้สก็อตต์ ช้ำใจ ก็นั่นไง นักสำรวจชาวนอร์เวย์ชื่อโรอัลด์ อะมุนด์เซน ผู้ซึ่งสามารถพิชิตขั้วโลกใต้ได้ก่อน หนุ่มอังกฤษเพียงเดือนเศษ
        อันที่จริงแล้ว อะมุนด์เซนเป็นนักสำรวจที่ต้องเรียกว่าเจอความช้ำใจมาไม่แพ้สก็อตต์ เหมือนกัน เพราะเดิมทีเขาตั้งใจอยากเป็นคนแรกของโลกที่เดินทางไปถึงขั้วโลกเหนือ แต่ ยังไม่ทันไร ก็ได้ข่าวว่า มีคนอื่นเปิดซิงขั้วโลกเหนือไปได้ก่อน อะมุนด์-เซนเลยเบนหัวหันไปทางใต้แทน

แต่ในครั้งแรกอะมุนด์เซนก็ไปไม่ถึงขั้วโลกใต้ ต้องบากหน้ากลับมาวางแผนใหม่ คราวหลังนี้เขาประสบความสำเร็จได้ เพราะตัดสินใจพาสุนัขลากเลื่อนไปด้วย 52 ตัว และเจ้าหน้าขนที่ทนทายาดพวกนี้นี่เอง ที่เป็นเคล็ดลับทำให้อะมุนด์เซนไปถึงขั้วโลกใต้ ได้เป็นคนแรกของโลก เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 1911
        หลังพิชิตจุดต่ำสุดของโลกได้แล้ว อะมุนด์เซนก็ยังไม่พอใจ เขาเลยตัดสินใจใช้ เทคโนโลยีใหม่เข้ามาช่วย โดยการใช้เรือเหาะบุกไปจนถึงขั้วโลกเหนือ ดังนั้น อะมุนด์เซน จึงได้ชื่อว่าเป็นคนแรกของโลกที่ไปเหยียบมาแล้ว ทั้งขั้วโลกใต้ และขั้วโลกเหนือ
        อย่างไรก็ตาม ชีวิตของเขาไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ แม้จะได้รับชื่อเสียงเกียรติยศมากมาย แต่ลงท้าย ร่างอันทรหดของนักสำรวจชื่อก้องของโลก ก็ต้องฝากไว้กับสถานที่อันลึกเร้นและไม่เคยมีใครหาพบ เมื่อเขาขึ้นเครื่องบินไปตามหาเพื่อนนักสำรวจอีกกลุ่มหนึ่ง ที่เกิดอุบัติเหตุเรือเหาะตกบริเวณขั้วโลกเหนือ และอะมุนด์เซนก็ไม่เคยได้กลับบ้าน อีกเลย และแม้จะมีการส่งคนจำนวนมากออกค้นหานักสำรวจเลื่องชื่อคนนี้ แต่ก็ไม่เคยมีใครพบเขา
        แต่หากจะพูดถึงนักสำรวจที่สูญหายจนเป็นเรื่องเอิกเกริกที่สุด น่าจะหนีไม่พ้นผู้บุกเบิกดินแดนทางเหนือ เซอร์ จอห์น อเล็กซานเดอร์ แฟรงคลิน ผู้เดินทางบากบั่นเตรียมเส้นทางสู่ขั้วโลกเหนือมาก่อนใครอื่น
        แฟรงคลินเป็นทหารเรืออังกฤษผู้รักการสำรวจเป็นชีวิตจิตใจ เขาเดินทางและทำแผนที่ได้ 2 ใน 3 ของทะเลด้านเหนือ นับตั้งแต่ออกเดินทางกับกองทัพเรือไปอาร์กติกครั้งแรกในปี 1818
        ครั้งนั้นเขานำคณะ 20 คนออกสำรวจดินแดนกันดารของแคนาดา ใช้เวลาอยู่ถึง 3 ปี ในการศึกษาสิ่งต่างๆ ซึ่งต้องผจญความยากลำบากนานัปการ จนทีมงานมากกกว่าครึ่งเสียชีวิตลง ส่วนที่เหลือรอดมาได้ 9 คน ก็ต้องกินทุกอย่างที่หาได้เพื่อประทังชีวิต รวมถึงรองเท้า ทำให้บางคนเรียกขานแฟรงคลินว่า ชายผู้กิน รองเท้าตัวเอง
        แต่แม้จะลำบากยากเข็ญ แต่ท่านเซอร์ก็ไม่เข็ด พอรัฐบาลอังกฤษประกาศจัดทีมไปสำรวจดินแดนต่อ เขาก็ตัดสินใจรับภารกิจอีกครั้ง ทั้งๆที่อายุปาเข้าไป 59 ปีแล้ว แต่ก็คงมั่นใจว่ามีความพร้อมสมบูรณ์ทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเรือที่ทันสมัย 2 ลำ พร้อม ลูกเรือมากกว่าร้อย และอาหารที่เตรียมไว้สำหรับ 3 ปี ว่าแล้วก็ออกเดินทางเมื่อ 19 พฤษภาคม 1845 ดั้นด้นขึ้นเหนือไป ก่อนจะหายสาบสูญ
        หลังจากไม่ได้ยินข่าวคราวของสามีนานกว่า 2 ปี เลดี้เจน กริฟฟิน ภรรยาของท่านเซอร์ก็เริ่มปริวิตก และแสดงความจำนงอยากจะส่งทีมออกค้นหา แต่ เนื่องจากการเตรียมเรือนั้น ได้เตรียมอาหารไว้เพียงพอสำหรับ 3 ปี ทางการก็เลยยังไม่เกิดอาการไฟลนก้น แต่พอหายไปได้ 3 ปีเต็ม ก็ชักหน้าเจื่อนกันหมด ทีนี้เลยประกาศให้มีการค้นหายอดนักสำรวจอย่างเป็น ทางการ โดยมีการเสนอเงินรางวัลสูงถึง 2 หมื่นปอนด์
ว่ากันว่า ทั้งชื่อเสียงของแฟรงคลิน และเงินรางวัลล่อใจ ทำให้มีคนออกค้นหาเขามากมายหลายคนเอาชีวิตไปทิ้ง และคนจำนวนมากสูญเสียทรัพย์สิน แต่ค้นเท่าไหร่ไม่พบ จนถึงกับมีผู้พูดว่า มูลค่าของการระดมกำลังกันค้นหานั้น สูงมากกว่ามูลค่าของการสูญเสียไปกับคณะของท่านเซอร์เสียอีก
        คนที่ทุกข์ระทมที่สุด น่าจะหนีไม่พ้นเลดี้เจนที่พยายามทุกวิถีทางในการตามหาสามี แต่ความหวังก็มอดลงไปเรื่อยๆ เพราะแม้เวลาจะผ่านไปนาน ก็ไม่มีหลักฐานยืนยันการมีชีวิต อยู่ของแฟรงคลิน แต่ เมื่อไม่มีหลักฐานว่าตาย ไปแล้ว การค้นหาจึงไม่ เคยจบสิ้นมาอีกหลายปี
        แล้วความหวังก็มืดหม่นลง ในปี 1858 ที่มีผู้พบเอกสารสำคัญ เป็นบันทึกของกัปตันเรือลำหนึ่งที่อยู่ในคณะของแฟรงคลิน บันทึกซึ่งลงวันที่ 25 เมษายน 1848 ระบุว่า เกิดปัญหาจนต้องสละเรือ และหัวหน้าคณะก็สิ้นชีวิตลงเมื่อวันที่ 11 มิถุนายน 1847 ส่วนลูกเรือคนอื่นๆ ก็ทยอยจากไปทีละคนสองคน และในเวลาต่อมาก็มีผู้ค้นพบหลุมฝังศพของลูกเรือจำนวนหนึ่ง
         ในปี 1981 คณะนักวิทยาศาสตร์นำโดย ศ.โอเว่น บีทตี้ ได้ศึกษากระดูกลูกเรือ พบว่า ส่วนหนึ่งเสียชีวิตเพราะอาการปอดบวมและวัณโรค แต่ก็มีอยู่จำนวนไม่น้อยเลยที่ตายเนื่องจากสารพิษอันเกิดจากตะกั่ว ซึ่งพบว่า เป็นตะกั่วที่มาจากการผลิตกระป๋องสำหรับถนอมอาหาร จึงเป็นอัน ว่า เทคโนโลยีอาหารกระป๋องที่ทำให้พวกเขา มั่นใจว่าจะมีอาหารกินกันไปนานหลายปีนั่นเอง ที่ย้อนกลับมาทำร้ายพวกลูกเรือ และที่น่าตกใจกว่านั้นคือ ในการศึกษากระดูก มีการพบร่องรอยที่แสดงให้เห็นว่า เมื่ออับจนถึงที่สุด พวกลูกเรือได้หันมากินกันเองด้วย
          ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เลดี้เจนก็ยังคงมั่นใจไม่เสื่อมคลายว่า แฟรงคลินไม่เคยจากไป เธอเชื่อเสมอว่าเขายังมีชีวิตอยู่ ณ ที่แห่ง ใดแห่งหนึ่งบริเวณ ขั้วโลกเหนือ เช่นเดียวกับในภาพยนตร์เรื่อง Journey To The Center Of The Earth ซึ่งสร้างจากผลงานอมตะของ จูลส์ เวิร์น บิดาแห่งนิยายวิทยาศาสตร์โลก โดยมีเนื้อหาหลักว่า เมื่อเอ็ดเวิร์ด สามีนักสำรวจหายตัวไปจากการออกเดินทางไปสู่อลาสก้า ภรรยาสุดที่รักของเขาก็จัดแจงส่งทีมออกตามหา และต้องผจญภัยกันแบบสุดขั้ว ด้วยอันตรายนานาที่คาดไม่ถึง ณ จุดที่ว่ากันว่า เหนือสุดของโลกเรานี้ มีช่องลับที่สามารถเดินทางเข้าไปสู่อาณาจักรใจกลางโลกได้
        ส่วนช่องลับที่เล่าลือกันมานานนี้ จะมีอยู่จริงหรือไม่ คงต้องรอผลจากการที่นักสำรวจรุ่นใหม่ ต่างก็กำลังพยายามเดินทางไปให้ถึงอยู่ เพื่อพิสูจน์ทฤษฎี โลกกลวง
        หรืออาจจะเป็นไปได้ว่า เคยมีใครบางคน หรือหลายคน ได้บุกเข้าไปสำรวจดินแดน ใต้โลกมาแล้ว แต่พวกเขาไม่เคยได้กลับมา เล่าเรื่องให้ใครฟังอีกเลย